หมอชื่อ ฐิติรัตน์  นิจประกิจ หมอเป็นแพทย์แผนไทย โดย ได้ศึกษา จากสถาบันการแพทย์แผนไทย และได้รับพระราชทานปริญญาบัตร จากสมเด็จพระบรมโอรส สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ในสาขา การแพทย์แผนไทยบัณฑิต

สมัยหมอ เป็นเด็ก ปู่มาจากเมืองจีน พ่อของหมอเข้ามาเรียนและอยู่ที่กรุงเทพ จากนั้น พ่อก็ไปรับปู่กับย่ามาอยู่ด้วย จำได้ว่า ปู่กับย่าจะมีรากไม้ และหิน ในการฝนยา เมื่อใครไม่สบาย ก็จะใช้ รากไม้ ฝนใส่หิน และละลายน้ำ ให้กับคนป่วยกิน โดยน้ำ บางทีผสมด้วย น้ำที่มีดอกมะลิ ลอย หรือบางทีก็ ใช้น้ำซาวข้าว บางทีก็ใช้น้ำปูนใน ผสมยา โดยมีใช้รับประทานบ้าง ทาบ้าง แล้วแต่ว่าเป็นอะไรมา

เมื่อหมอโตขึ้นมาหน่อยอยู่ประมาณ ประถมปีที่2 หมอเป็นคางทูม หรือ ลูกหนู มีลูกขึ้นที่ข้างคอ ตอนนั้น ลุงของหมอ เอาปูนแดง มาทา พร้อมทั่งท่องคาถา บ่นอยู่ประมาณ 2-3 นาที และเป่า 3ครั้ง  เมื่อเสร็จครั้งที่3 ไม่น่าเชื่อว่า มีสิ่งมหัศจรรย์เกิดเกิดขึ้นกับหมอ คางทูมหรือลูกหนูที่คางบวมอยู่นั้น ยุบ หาย แห้งไปเลย คลำดูไม่มีการบวมเหลืออยู่เลย ..อะไรกันนี่ …นี่มันใช้เวลาแค่ทำปากขมุบขมิบ เป่าเพี้ยง..เพี้ยง ..3ครั้ง หมอหายแล้ว..

นี่คือหมอโบราณ หมอโบราณที่รักษาคนไทย มาอย่างยาวนาน เมื่อก่อนคนไทยไม่ได้มีการแพทย์ดังปัจจุบัน ประเทศ สยาม หรือประเทศไทยของเรา มีการแพทย์เป็นของตัวเอง โดยมีการรักษาโดยใช้ยาสมุนไพร และการบริกรรมคาถา กำกับ

มันคือการรักษา โดยใช้ทั้ง.. คุณสมบัติของยา และพลังจิต พลังใจ ที่เข้มแข็งอยู่ในศีล ในธรรมของผู้ที่เป็นหมอ..

นี่แหละ คือ หมอโบราณ

และในปัจจุบัน การแพทย์แบบโบราณ ได้รับการสนใจ และ  ได้รับการยกระดับ ให้เป็นการแพทย์ ประจำชาติ ซึ่งแสดงถึงรากเหง้าของเรา โดยให้เป็นการแพทย์แขนงหนึ่ง  มีชื่อที่ชัดเจนว่า  “การแพทย์แผนไทย” มีการเรียนการสอนในระดับหมาวิทยาลัย ในการศึกษา โดยแบ่งเป็นสาขา ถึง 4 สาขา คือ

1. สาขาเภสัชกรไทย
2. สาขาเวชกรรมไทย
3. สาขาผดุงครรภ์ไทย
4. สาขานวดไทย